Tradition
ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
ความหมาย:
จารีตประเพณี หรือ tradition หมายถึงการสืบทอด หรือส่งต่อความคิด กฎระเบียบ และธรรมเนียมการปฏิบัติ จารีตประเพณี อาจหมายถึงการปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่ได้รับการสืบทอดและอนุรักษ์ไว้ จารีตประเพณียังอาจเป็นความหมายกว้างๆที่ใช้อธิบายการกระทำบางอย่างที่มีความต่อเนื่องมา ทั้งที่เป็นรูปแบบ พฤติกรรม หรือความเข้าใจ ความคิดเกี่ยวกับจารีตประเพณียังเกี่ยวข้องกับเรื่องคุณค่าที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมด้วย แต่เดิม แนวคิดของยุโรปมีรากฐานมาจากศาสนา ในสมัยแรกๆ คำว่าจารีตประเพณีหมายถึงความต่อเนื่องของการสั่งสอนศาสนาของสาวกพระเยซู เพื่อธำรงรักษากฎระเบียบและพิธีกรรมทางศาสนาให้ดำรงอยู่ได้ พระในศาสนาคริสต์เชื่อว่าการปฏิบัติและความเชื่อทางศาสนาต้องมีการสั่งสอน
ต่อมาชาวยุโรปเชื่อว่าคุณค่าของจารีตประเพณีมีลักษณะบางอย่าง กล่าวคือ ในทางปรัชญา เดคาร์ต เสนอวิธีการค้นหาความจริงด้วยความคิดใหม่ โดยกล่าวว่าบุคคลสามารถใช้เหตุผลของตัวเองอธิบายความจริงได้ ความจริงมิได้มาจากอำนาจของจารีตประเพณี ในทางศิลปะซึ่งมาพร้อมกับแนวคิดโรแมนติกในคริสต์ศตวรรษที่18-19 เชื่อว่าจารีตประเพณีคือแบบจำลองของธรรมชาติที่รักอิสระของมนุษย์ ในทางรัฐศาสตร์ อธิบายว่าจารีตประเพณีคือประเด็นที่ยกขึ้นมาโต้เถียงระหว่างพวกอนุรักษ์นิยมกับพวกก้าวหน้า พวกอนุรักษ์นิยมเช่น เอ็ดมันด์ เบิร์ก กล่าวว่าจารีตประเพณี เปรียบเสมือนผู้ชี้ทิศทางของสังคมที่รอบคอบ ส่วนพวกก้าวหน้าเช่น คาร์ล มาร์กซ์ เชื่อว่าจารีตก่อให้เกิดการกดขี่และเอารัดเอาเปรียบ มาร์กซ์กล่าวว่าจารีตประเพณีคือฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนมนุษย์
การศึกษาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประเด็นเรื่องจารีตประเพณีจะถูกอธิบายว่าเป็นองค์ความรู้ที่ตกผลึกที่มาพร้อมกับตำนานและเรื่องเล่าของสังคม เจมส์ เฟรเซอร์ อธิบายเรื่องพิธีการประหารชีวิตกษัตริย์ในยุคโบราณว่า พิธีนี้สามารถสืบทอดและดำรงอยู่ได้ตราบเท่าที่ยังคงมีการปฏิบัติอยู่ บาลด์วิน สเปนเซอร์ และเอฟ เจ กิลเลน อธิบายถึงการสร้างตำนานของชนพื้นเมืองในออสเตรเลียว่า คนเหล่านั้นแบ่งช่วงเวลาของประเพณีในตำนานเป็น 4 สมัย
ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักมานุษยวิทยามีความเข้าใจเกี่ยวกับจารีตประเพณีควบคู่ไปกับความหมายของวัฒนธรรม อัลเฟรด โครเบอร์ชี้ให้เห็นว่าวัฒนธรรมต่างจากชีววิทยา และเชื่อว่าประเพณีดำรงอยู่ได้โดยอาศัยเงื่อนไขทางชีววิทยา ประเพณีจะอยู่คนละด้านกับสัญชาติญาณ สังคมจะอยู่ตรงข้ามกับชีววิทยา โรเบิร์ต โลวี่อธิบายความหมายของวัฒนธรรมว่า หมายถึงจารีตประเพณีทุกอย่างของสังคม ส่วนราล์ฟ ลินตันอธิบายว่าวัฒนธรรมเทียบเท่ากับมรดกที่ตกทอดมาของสังคม
ในการศึกษาทางชาติพันธุ์ซึ่งต้องการอธิบายและเก็บข้อมูลแบบแผนทางวัฒนธรรมที่มีมาแต่เดิม ไม่มีการจำกัดความของคำว่า “จารีตประเพณี” อย่างชัดเจนเท่าใดนัก คำนี้จะถูกใช้ปะปนกับคำว่า “วัฒนธรรม” เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงความสนใจของนักมานุษยวิทยาในเรื่องการแลกเปลี่ยนหลอมรวมทางวัฒนธรรม (Acculturation) การเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม และการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ทำให้การใช้คำว่าจารีตประเพณีมีลักษณะเฉพาะมากขึ้น จารีตประเพณีจะถูกใช้ในความหมายของการเป็นแบบแผนทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์และมีคุณค่า ความหมายนี้ทำให้จารีตประเพณีมีความคงที่ ตายตัวและ มีลักษณะล้าสมัย ซึ่งอาจเกิดความขัดแย้งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง
ฟรานซ์ โบแอสอธิบายไว้ในเรื่อง Anthropology and Modern Life ว่า ความขัดแย้งระหว่างจารีตประเพณีที่ต้องการสงวนไว้กับการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับอารยธรรมของมนุษย์ ความคิดดังกล่าวนี้ถูกตอกย้ำในศาสตร์แขนงอื่น โดยเฉพาะวิชาสังคมวิทยาของอีมิล เดอไคม์ และแม็ก เวเบอร์ ความคิดของเดอไคม์เรื่องข้อคัดแย้งระหว่างชีววิทยาและสังคม กับความคิดของเวเบอร์เรื่องความแตกต่างระหว่างการกระทำแบบเหตุผลและแบบจารีต ความคิดทั้งสองนี้เชื่อว่าจารีตประเพณีเป็นคู่อริกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม
แนวคิดเรื่องจารีตประเพณีปรากฏชัดในการศึกษาของโรเบิร์ต เรดฟีลด์ซึ่งศึกษาสังคมชาวนา และมีการแบ่งประเพณีเป็นสองส่วน คือ Great Tradition และ Little Tradition เรดฟีลด์กล่าวว่าในอารยธรรมมีประเพณีของหลวงซึ่งเป็นของผู้ปกครอง และมีประเพณีราษฎร์ ซึ่งเป็นของคนส่วนใหญ่ ประเพณีของนักปราชญ์ พระสอนศาสนา และกวี คือประเพณีที่มีการสืบทอดต่อๆกันมา ส่วนประเพณีราษฎร์เกิดขึ้นตามเงื่อนไข ไม่มีการเคร่งครัด หรือทำให้เป็นสิ่งที่สวยงามสมบูรณ์
อาจกล่าวได้ว่าประเพณีหลวง (Great Tradition) เกี่ยวข้องกับการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรของชนชั้นปกครองและความเจริญก้าวหน้าของอารยธรรม ส่วนประเพณีราษฎร์(Little Tradition) หมายถึงประเพณีของชาวบ้าน หรือชุมชนชาวนาซึ่งไม่มีตัวหนังสือ และไม่มีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ความแตกต่างนี้ถูกนำไปอธิบายในสังคมระดับรัฐ เช่นการศึกษาของเมลฟอร์ด สปีโรเกี่ยวกับพุทธศาสนาในพม่า และการศึกษาของมิลตัน ซิงเกอร์ เกี่ยวกับศาสนาฮินดูในอินเดีย
ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมา ความเข้าใจเกี่ยวกับจารีตประเพณีในทางมานุษยวิทยาได้เปลี่ยนไปมาก ในระยะแรกๆ ความหมายของจารีตประเพณีถูกมองว่าเป็นเรื่องล้าสมัยและมีลักษณะหยุดนิ่ง ความคิดนี้ไม่อาจนำมาอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม หรือเหตุการณ์ใหม่ๆที่เกิดขึ้นได้ ทฤษฎีหลังสงครมโลกครั้งที่สองมีการเสนอว่าจารีตประเพณีมีการปรับตัวเพื่อเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่น การอนุรักษ์วัฒนธรรมของชนเผ่าในแอฟริกา ระบบวรรณะในอินเดีย หรือความเคร่งครักในศาสนาอิสลามของชาวอาหรับ เป็นต้น
ทฤษฎีสมัยใหม่พยายามอธิบายเรื่องเกี่ยวกับจารีตประเพณีว่า เป็นสิ่งที่ลื่นไหล และเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดคุณค่าการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม รวมทั้งเป็นความสืบเนื่องของประวัติศาสตร์ ทฤษฎีเกี่ยวกับสัญลักษณ์และการตีความทางมานุษยวิทยาพยายามอธิบายลักษณะกระบวนการที่ซับซ้อนของการเรียนรู้ การให้ความหมาย และการสื่อสารเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ทางวัฒนธรรมต่างๆซึ่งช่วยนำทางสำหรับการดำเนินชีวิตและการประกอบพิธีกรรมต่างๆ การทำความเข้าใจเรื่องจารีตประเพณีด้วยแนวคิดนี้ทำให้มองเห็นลักษณะความต่อเนื่องที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งดำเนินควบคู่กันไปได้
แหล่งข้อมูล: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)