Territoriality ความหมายคำศัพท์ทางมานุษยวิทยา

Territoriality


ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ

ความหมาย:

             Territoriality หมายถึงอาณาเขตพื้นที่ ในแต่ละวัฒนธรรม มนุษย์จะให้ความหมายต่อพื้นที่อาศัยของตัวเองต่างกันไป  ชาวบุชแมน คุง ที่อาศัยในทะเลทรายคาราฮารี ในตอนใต้ของแอฟริกา อธิบายอาณาเขตที่อยู่อาศัยของตัวเองว่า  “เนอ ออรี”   อารมณ์ผูกพันต่อที่อยู่อาศัยเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนมีเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว ชาวอาหรับในเวสต์แบงค์ หรือชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายคาราฮารี  อย่างไรก็ตาม ยังมีความหลากหลายของการแสดงความเป็นเจ้าของในที่อยู่อาศัย  และเหตุผลของการแสดงความเป็นเจ้าของ   ประเด็นของความต่างนี้เป็นสิ่งที่นักมานุษยวิทยาสนใจศึกษา

          การศึกษาชนเผ่าเร่ร่อนของนักมานุษยวิทยาในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20  ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการสร้างพรมแดนที่อยู่อาศัยของมนุษย์   ในปี ค.ศ.1911 ซี ซี และ บี แซท เซลิคแมนชนศึกษาเผ่าเว็ดดาพบว่ามีการสร้างเขตแดนประจำเผ่า โดยแบ่งพื้นที่เป็นที่ดินส่วนบุคคล ซึ่งจะกลายเป็นมรดกตกทอดให้ลูกต่อไป    จูเลียน สจ๊วต (1955) นำเอกสารเก่าๆมาวิเคราะห์ และอธิบายว่าพรมแดนที่ครอบครองโดยญาติข้างพ่อเป็นแบบแผนทางสังคมในกลุ่มชนเก็บของป่าล่าสัตว์ และพบในพื้นที่แบบต่างๆ เช่น ทะเลทราย ป่าเขตร้อน  และชายฝั่งทะเล  อย่างไรก็ตามในช่วงทศวรรษที่ 1960  การศึกษาเขตที่อยู่อาศัยของชนเผ่าเริ่มมีความชัดเจนขึ้นเพราะมีข้อมูลจาการภาคสนามเพิ่มขึ้น  เริ่มมีความชัดเจนเกี่ยวกับเขตที่อยู่อาศัยของชาวบุชแมนในทะเลทรายคาราฮารี  ชนเผ่าฮัดซ่าที่อาศัยในเขตทุ่งหญ้าสวันน่าทางตะวันออกของแอฟริกา และชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย  การใช้ที่ดินของคนพื้นเมืองเหล่านี้จะเปลี่ยนไปตามขนาดของกลุ่มและที่อยู่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ   ในปี ค.ศ.1966 มีการประชุมเรื่องมนุษย์ในฐานะผู้ล่า  มีการอธิบายว่าชนเผ่าเก็บของป่าล่าสัตว์มีการตั้งที่อยู่อาศัยแบบหลวมๆและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  การเปลี่ยนเขตแดนที่อยู่อาศัยขึ้นอยู่กับขนาดของกลุ่มและลักษณะภูมิประเทศ  ชนเผ่าจะปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในพื้นที่ที่เขาเลือกตั้งหลักแหล่ง

          นักมานุษยวิทยาหลายคนในปัจจุบันเริ่มตระหนักถึงโลกสมัยใหม่ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินของชนพื้นเมือง  การศึกษาของนักมานุษยวิทยาในช่วงทศวรรษที่ 1920 และ 1930 เคยอธิบายเกี่ยวกับชนเผ่าอัลกอนเกียนในแคนาดา ซึ่งครอบครองดินแดนเพื่อการล่าสัตว์ที่มีขนเพื่อนำมาทำเครื่องนุ่งห่ม   อีเลียนอร์ ลีค็อก(1954) และการศึกษาในช่วงทศวรรษที่ 1950-1960 อธิบายว่าพรมแดนที่อยู่ของชนเผ่าอัลกอนเกียนจะเปลี่ยนไปตามการอพยพและเปลี่ยนเขตล่าสัตว์เพื่อเอาขนสัตว์และเนื้อ เช่นกวางคาริบู และสัตว์มีขนอื่นๆ

          การหายไปของสังคมชนเผ่าเก็บของผ่าล่าสัตว์เนื่องมาจากที่ดินถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และ ชนเผ่าเร่ร่อนทั้งหลายจึงอพยพไปอยู่ในพื้นที่ที่ทุรกันดารและห่างไกล  สิ่งที่เกิดขึ้นและส่งผลในแง่ลบก็คือชนพื้นเมืองถูกรุกล้ำดินแดนโดยอำนาจรัฐ ซึ่งต้องการแสวงหากำไรจากเศรษฐกิจ  จึงเป็นเรื่องยากที่จะรักษาที่อยู่ของชนพื้นเมืองเพราะเขตแดนที่อยู่อาศัยของพวกเขามีความคลุมเคลือ หรือพวกเขาไม่มีแนวคิดเรื่องความเป็นเจ้าของในที่ดิน  นักมานุษยวิทยาอธิบายว่าระบบการครอบครองที่ดินของชนพื้นเมืองแตกต่างจากความคิดแบบตะวันตก ซึ่งยึดถือเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนบุคคล แต่ชนพื้นเมือง ที่ดินเป็นของเครือญาติหรือเป็นมรดกที่สืบทอดมาจากพ่อแม่ หรือกลุ่มตระกูล  ญาติพี่น้องมีสิทธิใช้ที่ดินเท่าๆกัน ที่ดินของตระกูลไม่มีการนำไปขาย

          นักมานุษยวิทยาที่สนใจเรื่องพรมแดนที่อยู่อาศัย จะพิจารณาถึงปัจจัยทางนิเวศน์  นักนิเวศน์วิทยาอธิบายว่าการป้องกันเขตแดนจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเขตแดนนั้นมีทรัพยากรที่เป็นประโยชน์     ถ้าพื้นที่ใดไม่มีทรัพยากรที่มีค่า พื้นที่นั้นก็จะไม่มีการแย่งชิง  ความคิดนี้สอดคล้องกับงานวิจัยทางมานุษยวิทยา กล่าวคือในพื้นที่ที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ จะมีการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรระหว่างคนกลุ่มต่างๆ  ในที่ที่มีการแข่งขันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรจะมีการครอบครองดินแดนเมื่อทรัพยากรนั้นมีค่าทางเศรษฐกิจ  ในพื้นที่ที่มีทรัพยากรน้อย จะไม่มีการครอบครองดินแดน เพราะต้องใช้เงินดูแลมากและไม่คุ้ม   ทรัพยากรที่ควบคุมไม่ได้เป็นทรัพยากรที่ไม่มีค่า

          ราดา ไดซัน-ฮัดสัน และอีริค เอ สมิธ (1978)  อธิบายว่ามนุษย์ที่สร้างพรมแดนที่อยู่อาศัยจะเป็นมนุษย์ที่อยู่ในเขตที่มีทรัพยากรคงที่และอุดมสมบูรณ์  เช่น ชนเผ่าโชโชนในอเมริกาตะวันตก  ตั้งถิ่นฐานในเขตแห้งแล้งและมีทรัพยากรขาดแคลน คนกลุ่มนี้มักจะไม่ครอบครองดินแดนถาวร  แต่ชนเผ่าไพอุเต อาศัยอยู่ในเขตที่อุดมสมบูรณ์ คนกลุ่มนี้จะมีการแบ่งเขตแดนและครอบครองพื้นที่ โดยแต่ละครอบครัวจะมีที่ดินของตัวเอง   พื้นที่ที่มีทรัพยากรมากอาจทำให้เกิดการแข่งขันและแย่งชิงระหว่างกลุ่มคน  ในเขตชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกาซึ่งมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ พื้นที่มักจะถูกจับจองเกือบหมด  การครอบครองทรัพยากรอาจขึ้นอยู่ชนิดของทรัพยากร เช่น ปลา และพืชที่เป็นอาหาร    

          เมื่อเราคิดถึงเขตแดน เรามักจะคิดถึงการต่อสู้ของสัตว์เพื่อป้องกันเขตแดน  การวิจัยทางนิเวศน์วิทยาที่เกี่ยวกับเขตแดนส่วนใหญ่จะเป็นการศึกษาเรื่องนก ซึ่งมีการครอบครองและป้องกันที่อยู่ของตัวเอง   สำหรับมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในเขตที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์และมีความคงที่อาจจะมีการแสดงความเป็นเจ้าของและปกป้องเขตแดนเหมือนนก    แต่การศึกษาเขตแดนของนกอาจมองไม่เห็นว่าการควบคุมทรัพยากรอาจมีรูปแบบอื่นๆ  ในสัตว์ประเภทสิงโตซึ่งอยู่ในเขตแดนกว้างใหญ่อาจมีศัตรูลุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของมัน แต่สิงโตไม่จำเป็นต้องขับไล่ศัตรูออกไป   มนุษย์ที่อาศัยในพื้นที่ที่กันดารและไม่มีทรัพยากรมากนักอาจต้องอาศัยอยู่ในเขตแดนที่กว้างขึ้น   การศึกษาทางมานุษยวิทยาในกลุ่มคนที่อยู่ในพื้นที่กันดาร เช่น เขตทะเลทราย หรือเขตขั้วโลก พบว่าคนกลุ่มนี้ก็มีวิธีคิดเกี่ยวกับการครอบครองดินแดน สิทธิในพื้นที่ และการปกป้องเขตแดนของตน   นิโคลาส ปีเตอร์สัน(1975) อธิบายว่ามนุษย์ที่อาศัยในเขตกันดารมีการควบคุมสมาชิกในกลุ่มให้พอเหมาะกับพื้นที่ที่ครอบครอง

          ชนเผ่าบุชแมนในทะเลทรายคาราฮารี มีวิธีการอ้างสิทธิในการใช้ทรัพยากรโดยไม่ต้องขออนุญาตจากใครเมื่อพวกเขาอาศัยในเขตแดนของตัวเอง   เขตแดนของชาวบุชแมนมีการสืบทอดผ่านลูกหลาน  อย่างไรก็ตาม ในเขตทะเลทราย มนุษย์มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆเพื่อแสวงหาอาหาร เขตแดนจึงไม่แน่นอน เมื่อที่อยู่เดิมขาดแคลนอาหาร มนุษย์ก็จะย้ายไปที่อยู่ใหม่ที่มีอาหารเพียงพอ  การติดต่อขออนุญาตเพื่อใช้พื้นที่จะเกิดขึ้นเมื่อเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของคนอื่น   นักมานุษยวิทยาอธิบายว่าธรรมเนียมการขออนุญาต เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูล  การที่มนุษย์กลุ่มหนึ่งขอเข้าไปอยู่ในเขตแดนของกลุ่มอื่น ต้องขออนุญาตเพื่อให้เจ้าของพื้นที่เห็นชอบ  แต่ชาวบุชแมนเป็นกลุ่มคนที่ไม่กล้าบุกรุกดินแดนคนอื่น พวกเขารู้สึกหวาดกลัวในการเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของผู้อื่น

          นักมานุษยวิทยาที่ศึกษาชนพื้นเมืองในออสเตรเลียพบว่าการครอบครองดินแดนมีลักษณะเหมือนบุชแมนในทะเลทรายคาราฮารี  ชาวบุชแมนไม่ค่อยเดินทางไกลเพราะมีอันตราย และอาจเข้าไปลุกล้ำดินแดนของผู้อื่น   การไม่มีเขตแดนที่แน่นอนจึงเป็นเรื่องของการมีทรัพยากรที่ไม่แน่นอน      แต่เฟร็ด ไมเยอร์ส(1988) อธิบายว่าชนเผ่าพินตูปีในออสเตรเลีย ซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อนมีการครอบครองดินแดนที่ชัดเจน และมีความหวงทรัพยากรที่มีอยู่ ถ้ามีคนอื่นเข้ามาใช้ทรัพยากรโดยไม่ขออนุญาต พวกเขาจะรู้สึกโกรธ    ไมเยอร์สอธิบายว่าถ้าเจ้าของพื้นที่อนุญาตให้คนอื่นเข้ามาใช้ทรัพยากร  เจ้าของพื้นที่ก็จะต้อนรับเป็นอย่างดี  นักมานุษยวิทยาหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าการเข้าไปอยู่ในเขตแดนของผู้อื่นเป็นวิธีการแลกเปลี่ยน และเป็นการแสวงหาทรัพยากรที่ขาดแคลน  เจ้าของดินแดนอาจได้รับการตอบแทนจากแขกที่มาเยือน เมื่อถึงยามที่เจ้าของดินแดนเจอปัญหาขาดแคลนอาหาร แขกที่มาเยือนอาจส่งอาหารมาช่วย 

          อย่างไรก็ตามคำอธิบายของไมเยอร์ส ไม่ได้บอกเกี่ยวกับการปกป้องทรัพยากรเท่าใดนัก แต่เป็นเพียงการคาดเดาทรัพยากรมีของมีค่า  เขตแดนของชนพื้นเมืองในออสเตรเลียยังคงเป็นสิ่งคลุมเคลือสำหรับนักมานุษยวิทยา เนื่องจากชนพื้นเมืองมีวิธีคิดต่อเขตแดนที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์   เจ้าของที่ดินมีสิทธิหาอาหารในเขตแดนของตนโดยไม่ต้องขออนุญาต แต่การหาอาหารอาจเกิดขึ้นในเขตแดนอื่นๆด้วย  ความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่อาศัยและพื้นที่สำหรับหาอาหารคืออะไร   ปีเตอร์สันอธิบายว่าผู้เฒ่าต้องการอาศัยและตายในที่ดินของตนเอง สมาชิกของกลุ่มก็จะผูกพันกับผู้เฒ่า   ที่ดินที่เป็นที่อยู่จึงมีความสำคัญมากและเจ้าของที่ดินก็จะมีพิธีกรรมในที่อาศัย  นอกจากนั้นเขตแดนของชนพื้นเมืองในออสเตรเลียยังเกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากร ที่อยู่อาศัยจะเป็นที่สำหรับแสงหาอาหาร  ในเขตที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์จะมีการแบ่งเขตแดนที่ชัดเจน แต่ในเขตแห้งแล้ง เขตแดนอาจไม่ชัดเจน ที่อยู่ในเขตแห้งแล้งอาจเป็นภูมิประเทศแบบกว้างๆและมีเส้นทางเดินที่รับรู้กัน

          ถึงแม้ว่าประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินในสังคมเพาะปลูกจะเกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของ แต่ก็มีลักษณะคล้ายกับสังคมเร่ร่อน  ไดสัน-ฮัดสัน และสมิธ(1978) อธิบายว่าชาวนามักจะขับไล่ผู้ที่มาบุกรุกในที่ดินของตน แต่ชาวนาในอดีตมีที่ดินเป็นของชุมชน  การควบคุมที่ดินในการเพาะปลูกอาจขึ้นอยู่กับการแข่งขัน  นักเศรษฐศาสตร์ชื่อเอสเตอร์ โบเซอรัพ(1965) อธิบายว่าการเป็นเจ้าของที่ดินจะค่อยๆเปลี่ยนจากกรรมสิทธิ์ชุมชนไปเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล เนื่องจากบุคคลจะมีการเพาะปลูกเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแข่งขันกับชาวนาคนอื่นๆ เมื่อมีชาวนามากก็ยิ่งมีการเพาะปลูกมาก  ที่ดินในการเพาะปลูกแบบไร่เลื่อนลอยจะเป็นกรรมสิทธิ์ของสายตระกูล  สมาชิกในตระกูลจะมีสิทธิใช้ที่ดิน แต่เมื่อไม่มีการเพาะปลูกในที่ดินอีก ที่ดินนั้นก็จะไม่มีเจ้าของ

          อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการแข่งขันมากขึ้น บุคคลก็ต้องเพาะปลูกในที่ดินของตนเองมากขึ้นซึ่งทำให้มีการแสดงความเป็นเจ้าของในที่ดินอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ  การเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในที่ดินนี้เหกิดในแอฟริกา เป็นตัวอย่าง  นักมานุษยวิทยาหลายคนยังไม่สนใจเรื่องพลวัตที่เกิดขึ้นในการปกป้องเขตแดน  เมื่อบุคคลปกป้องที่ดินของตัวเอง เขาก็ต้องลงทุนส่วนตัว  แต่ถ้าที่ดินเป็นของส่วนรวม การลงทุนก็มาจากคนหลายคน  ถ้าที่ดินของส่วนรวมมีการลงทุนเพื่อป้องกันน้อย การป้องกันอาจไม่มีประสิทธิภาพ  การศึกษาทางมานุษยวิทยาในเรื่องการจัดการทรัพยากรชี้ให้เห็นว่า ทรัพยากรส่วนรวมจะถูกจัดการอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้สถานการณ์บางอย่าง แต่อาจไม่เกี่ยวกับการปกป้องเขตแดน

 

แหล่งข้อมูล: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *