Honor and Shame ความหมายคำศัพท์ทางมานุษยวิทยา

Honor and Shame


ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ

ความหมาย:

         มานุษยวิทยาสนใจศึกษาเกียรติยศและความอายในช่วงทศวรรษ 1960 โดยเข้าไปศึกษาในเขตเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นสังคมที่มีการแบ่งแยกเพศโดยมีศาสนาเป็นข้อกำหนด โดยเฉพาะศาสนาคริสต์และอิสลาม เรื่องเพศจะเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจที่สัมพันธ์กับบทบาทชายหญิง   ซึ่งผู้ชายจะถูกคาดหวังว่าต้องแข็งแกร่งอดทน ผู้หญิงต้องนุ่มนวลอ่อนหวาน ในวัฒนธรรมเมดิเตอร์เรเนียนมองว่าเกียรติยศคือระบบคุณค่าทางสังคม บุคคลจะต้องมีค่าในตัวเอง ส่วนความอายจะบ่งบอกถึงความล้มเหลวในคุณค่าของตัวเอง

          การศึกษาของ เจ เค แคมป์เบลล์ (1964) ในเมืองซาราแคทซานี ของประเทศกรีซ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องความอายและเกียรติยศที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมในแถบเมดิเตอร์เรเนียน   แคมป์เบลล์กล่าวว่าความสัมพันธ์ทางสังคมของชาวซาราแคทซานีเป็นความสัมพันธ์ในแนวราบที่คนเท่าเทียมกัน ในขณะที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวค่อนข้างมีระเบียบเคร่งครัดและยึดถือระบบอาวุโส ผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่  เนื่องจากชาวซาราแคทซานียึดถือศาสนาคริสต์อย่างเคร่งครัดและปฏิบัติตามกฎศาสนาอย่างเข้มงวด   ชาวบ้านทุกคนจะเชื่อเรื่องบาปและการรักษากฎระเบียบของครอบครัว  ครอบครัวของชาวซาราแคทซานีจึงมีความกลมเกลียวสูงและการเคารพญาติพี่น้องค่อนข้างมีระเบียบชัดเจน กล่าวคือครอบครัวจะเปรียบเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่ทุกคนให้ความเคารพ  การศึกษาของแคมป์เบลล์จึงเป็นการศึกษาที่เปิดเผยให้เห็นความสำคัญของเรื่องศักดิ์ศรีและเกียรติยศ ในฐานะที่เป็นแนวคิดที่จะอธิบายวัฒนธรรม

          ในหนังสือเรื่อง Honour and Shame : The Values of Mediterranean Society(1965) มีบทความของแคมป์เบลล์ที่อธิบายเรื่องบทบาทของปีศาจที่มีต่อการทำลายเกียรติยศ นอกจากนั้นยังมีบทความเกี่ยวกับสังคมสเปน  ไซปรัส  สังคมชาวคาบิลในอัลจีเรีย และเบดูอินในอียิปต์   บทบรรณาธิการของเพอริสเทียนีอธิบายว่าสังคมเมดิเตอร์เรเนียนเป็นสังคมที่ผูกพันธ์กับศีลธรรมที่มีเรื่องเกียรติยศและความอายเข้ามาเกี่ยวข้อง  และเรื่องเกียรติยศก็เป็นสิ่งที่มีความรุนแรงมาก  กล่าวคือ เกียรติยศเป็นเรื่องที่เปราะบาง การกระทำต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเกียรติยศชื่อเสียงอาจนำไปสู่ความเสียเกียรติและความอายได้ตลอดเวลา

          บทความของจูเลียน พิทท์-ริเวอร์ส เกี่ยวกับเรื่องชนชั้นในสังคมสเปน เป็นการศึกษาที่ชี้ให้เห็นลักษณะของครอบครัวที่ยากจน ซึ่งมีฐานะต่ำทางสังคม ครอบครัวยากจนจะมีความตึงเครียดกับระบบเกียรติยศมากกว่าชนชั้นกลาง เนื่องจากคนจากครอบครัวชั้นล่างเชื่อว่าพวกเขามีเกียรติยศและสิ่งนี้จะทำให้พวกเขาเป็นคนบริสุทธิ์  ในขณะที่ชนชั้นสูงมักจะเชื่อว่าเกรียติได้มาโดยธรรมชาติ  หรือพระเจ้าประทานมาให้แล้ว ชนชั้นสูงจึงค่อนข้างมีอิสระในการดำเนินชีวิตและไม่เข้มงวดกับเกียรติยศเท่ากับชนชั้นล่าง     ในเรื่อง The Fate of Shechem(1977) จูเลียนอธิบายว่าระบบเศรษฐกิจแบบเมดิเตอร์เรเนียนเกี่ยวข้องกับบทบาททางเพศ ซึ่งเป็นคำอธิบายที่คล้ายกับการศึกษาของแคมป์เบลล์  กล่าวคือจูเลียนเชื่อว่าการควบคุมความบริสุทธิ์ของสตรี คือวิธีการตรวจสอบชื่อเสียงของตระกูลและครอบครัว

          การศึกษาเกี่ยวกับความอายและเกียรติยศในสังคมเมดิเอร์เรเนียน ที่มีการพัฒนาแนวคิดไปมากขึ้น ได้แก่การศึกษาของเจน ชไนเดอร์(1971)  ซึ่งอธิบายให้เห็นระบบความคิดเกี่ยวกับเกียรติยศที่มีมาตั้งแต่อดีตกาล ในสมัยที่สังคมยังควบคุมเรื่องเพศของผู้หญิง  เนื่องจากมีอุดมคติที่ว่าผู้ชายคือผู้มีอำนาจในทางการเมืองและควบคุมทรัพยากร   การศึกษาของชไนเดอร์ยังชี้ให้เห็นการเข้ามาแทรกแซงของรัฐต่อเรื่องระบบศีลธรรมในท้องถิ่น     การศึกษาของจอห์น เอช อาร์ เดวิส(1977) เป็นการศึกษาพื้นที่ทางวัฒนธรรมหลายๆแห่งในเขตเมดิเตอร์เรเนียน  พบว่าความคิดเรื่องเกียรติยศชื่อเสียงวางอยู่บนเงื่อนไขทางวัตถุ ซึ่งเป็นคำอธิบายที่ต่างไปจากการศึกษาของจูเลียน   ในปี ค.ศ.1980 ไมเคิล เฮิร์ซเฟลด์ ได้วิจารณ์การศึกษาของจูเลียนและเดวิสว่าเป็นการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเกียรติยศที่เป็นระบบตายตัว ซึ่งในทางปฏิบัติในเขตเมดิเตอร์เรเนียนมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และเรื่องเกียรติยศและความอายในแต่ละแห่งก็แตกต่างกัน   เฮิร์ซเฟลด์กล่าวว่าเกียรติยศมิใช่เรื่องคงที่และไม่ได้เข้มงวดเหมือนที่คิด ทั้งนี้ควรจะมีการศึกษาเปรียบเทียบในกลุ่มวัฒนธรรมต่างๆที่พูดภาษาเดียวกัน หรืออยู่ในพรมแดนรัฐชาติเดียวกัน

          การศึกษาของแอนตัน บล็อก(1981) ชี้ให้เห็นความหลากหลายเกี่ยวกับเพศในสังคมเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งจะแสดงออกมาด้วยการเปรียบเปรยถึงสัตว์   บล็อกอธิบายว่าสังคมอุตสาหกรรมได้นำแนวคิดเรื่องเกียรติยศชื่อเสียงมาเป็นเอกลักษณ์ของชาติ   เฮิร์ซเฟล์ดได้นำแนวคิดของบล็อกไปขยายความต่อในเรื่อง Anthropology Through the Looking-Glass(1987) ซึ่งเป็นการวิจารณ์สังคมของชาวเมดิเตอร์เรเนียนโดยรวม กล่าวคือ ภาพลักษณ์ของชาวเมดิเตอร์เรเนียนถูกสร้างขึ้นมาโดยผ่านสัญลักษณ์ทางเศรษฐกิจ   เฮิร์ซเฟล์ดยังเขียนบทความในหนังสือของเดวิด ดี กิลมอร์ โดยอธิบายว่าความสัมพันธ์ทางสังคมในท้องถิ่นถูกกลืนเข้าไปอยู่ในระบบโลก ซึ่งวิธีการทำความเข้าใจเรื่องนี้ต้องศึกษาเงื่อนไขของแต่ละท้องถิ่น  การศึกษาของกิลมอร์ทำให้เห็นว่าความหมายของความซื่อสัตย์ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร

          บทความของมาริโกะ อาซาโน-ทามาโนอิ เป็นการเปรียบเทียบสังคมสเปนและสังคมญี่ปุ่น ซึ่งทำให้เห็นว่าความคิดเรื่องเกียรติยศไม่ได้มีอยู่ในสังคมเมดิเตอร์เรเนียนเท่านั้น การศึกษาที่มีความสำคัญมากได้แก่การศึกษาของปิแอร์ บูร์ดิเยอ  ซึ่งอธิบายว่าความคิดเรื่องเกียรติยศชื่อเสียงมาจากโครงสร้างความคิดที่แบ่งแยกสิ่งต่างๆเป็นสองด้าน และมีอยู่ในความคิดเรื่องเพศ  ต่อมาบูร์ดเยอได้พัฒนาทฤษฎีเรื่องเกียรติยศ โดยกล่าวว่าการปฏิบัติทางสังคมจะมีการแข่งขัน และทำให้ความหมายและคุณค่าของเกียรติยศผันเปลี่ยนไป 

          การศึกษาของอันนี ไวแกน(1984) เป็นการศึกษาสังคมไครีนและโอมานี่ ชี้ให้เห็นความลุ่มๆดอนๆระหว่างความสัมพันธ์ที่เกิดจากความอายและชื่อเสียง   ซึ่งความอายเป็นสิ่งที่แอบแฝงอยู่ในเกียรติยศและความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง  การศึกษาของอลิสัน ลีเวอร์ (1986) เป็นการตั้งคำถามว่าแนวคิดเรื่องเกียรติยศถูกมองต่างกันหรือไม่ และการนำไปเชื่อมโยงกับเรื่องบทบาทางเพศและชนชั้นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่  ในเวลาเดียวกันการศึกษาสังคมเมืองในแถบเมดิเตอร์เรเนียนทำให้เห็นประเด็นที่แตกต่างออกไป ตัวอย่างเช่น วัฒนธรรมของวัยรุ่นเป็นวัฒนธรรมที่สร้างความคลุมเคลือให้กับการนิยามบทบาททางเพศ และทำให้ยากต่อการศึกษาแบบชี้เฉพาะเจาะจง  เกียรติยศและความอายจึงอาจมิใช่สิ่งที่คงที่ถาวร

 

แหล่งข้อมูล: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

Sign In

Register

Reset Password

Please enter your username or email address, you will receive a link to create a new password via email.