Economic Anthropology
ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
ความหมาย:
มานุษยวิทยาเศรษฐกิจคือการศึกษาพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์ ซึ่งนักมานุษยวิทยามาลีนอฟสกี้ได้อธิบายไว้ในเรื่อง Argonauts of the Western Pacific (1922) โดยชี้ให้เห็นเครือข่ายของการแลกเปลี่ยนของมีค่าของชนพื้นเมืองในเขตหมู่เกาะทรอเบียนด์ มาลีนอฟสกี้เชื่อว่าการแลกเปลี่ยนนี้สะท้อนความอยากได้ทรัพย์สินเงินทองของปัจเจกบุคคล เพราะบุคคลจะคาดหวังว่าเมื่อนำของมีค่าไปแลกแล้วจะต้องได้รับสิ่งมีค่ากลับคืนมาแบบเท่าเทียมกัน ในขณะที่ มาร์เซล มอสส์ได้เสนอความคิดเรื่องการแลกเปลี่ยนต่างตอบแทน หรือ reciprocity ในหนังสือเรื่อง The Gift (1925) เพื่อทำความเข้าใจกิจกรรมทางเศรษฐกิจในฐานะเป็นวิธีการสร้างพลังของกลุ่ม การแลกเปลี่ยนจะเป็นสัญลักษณ์ทางสังคมที่คนต่างกลุ่มจะเชื่อมสัมพันธ์กันโดยนำสิ่งของมาแลกเปลี่ยน
มาร์แชลล์ ซาห์ลินส์ (1972) อธิบายเพิ่มเติมว่ารูปแบบของการแลกเปลี่ยนของมีค่าแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ หนึ่งการแลกเปลี่ยนแบบเท่าเทียมกัน (Symmetrical reciprocity) หมายถึง การให้สิ่งของผู้อื่น และผู้อื่นจะให้สิ่งของกลับคืนมาด้วยจำนวนและมูลค่าเท่ากัน สอง การแลกเปลี่ยนแบบไม่เท่าเทียม (Negative reciprocity) หมายถึง การแลกเปลี่ยนสิ่งของวัตถุหรือสินค้าที่แต่ละฝ่ายคาดหวังผลกำไรที่เพิ่มขึ้น
คำว่า economics และ economy เป็นคำที่มาจากศัพท์ภาษากรีก คำว่า oikonomia หมายถึง ศิลปะการจัดระเบียบในครัวเรือน ( oikos แปลว่าครัวเรือน nomos แปลว่ากฎระเบียบ) คำนี้ต่างไปจากคำว่า chrematistike หมายถึง ศิลปะการหาเงิน ซึ่งเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ ความคิดของกรีกเรื่องศิลปะการจัดระเบียบในครัวเรือน หมายถึงการทำงานเพื่อทำให้หน่วยทางสังคมดำรงอยู่ได้ คุณลักษณะนี้นำไปอธิบายการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจในสังคมอื่นๆที่มิใช่สังคมอุตสาหกรรม และยังไม่รู้จักระบบเงินตรา
แนวคิดเรื่องเศรษฐศาสตร์ กับ เศรษฐกิจมีความต่างกัน กล่าวคือเศรษฐกิจคือแบบแผนของกิจกรรมที่มีเป้าหมายเป็นผลตอบแทนทางวัตถุ ส่วน เศรษฐศาสตร์คือแนวคิดทฤษฎี หรือสมมุติฐานเพื่อใช้สำหรับวิเคราะห์กิจกรรมที่หวังผลตอบแทน ทุกๆสังคมจะมีระบบความคิดเพื่อแยกประเภท และให้คำปรึกษาในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ความคิดเรื่องเศรษฐกิจของอริสโตเติล เกี่ยวข้องกับเรื่องระบบคุณค่าที่ยุติธรรม และการทำให้ชุมชนอยู่รอด ซึ่งสะท้อนแบบแผนเชิงอุดมคติของสังคมในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ข้อสมมุติฐานของโทมัส อควินัสในเรื่องเศรษฐกิจ สะท้อนมาจากสถาบันสังคมในยุคกลาง โดยเฉพาะสังคมฟิวดัลและศาสนจักร อดัม สมิธ เขียนหนังสือเรื่อง Wealth of Nations อธิบายว่าการแลกเปลี่ยน การแสวงหาผลประโยชน์ และความสมดุลทางสังคมของมนุษย์ เป็นผลมาจากการแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งพบได้ทุกวัฒนธรรมและทุกสมัยหรือไม่ หรือว่าเป็นวิธีคิดที่เกิดขึ้นในวัฒนะรรมและประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมในอังกฤษเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ความคิดเกี่ยวกับเศรษฐกิจได้รับการวิพากษ์วิจาณ์อย่างกว้างขวางทั้งในสาขามานุษยวิทยาและเศรษฐศาสตร์ตะวันตก เศรษฐศาสตร์สมัยใหม่อ้างว่า เศรษฐกิจคือกระบวนการแบ่งปันทรัพยากรภายใต้สภาวะที่ขาดแคลน และยังหมายถึงการทำให้มนุษย์ได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะการกระทำของมนุษย์คือการหวังผลกำไรจากทรัพยากรที่มีจำกัด ซึ่งจะถูกใช้ไปโดยวิธีต่างๆ การศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์ เป็นการอธิบายข้อจำกัดเพื่อจะทำให้มันเกิดผลประโยชน์ตามกลไกราคาและระบบตลาด แนวคิดแบบ formalist อธิบายระบบกลไกราคา ต้นทุน การให้สินเชื่อ และผลกำไร ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายพฤติกรรมที่มีเหตุผลของมนุษย์ เพื่อทำให้ตนเองได้ประโยชน์สูงสุด ส่วนแนวคิดแบบ substantivist ปฏิเสธแบบแผนการวิเคราะห์ที่เกิดจากระบบทุนนิยม และเงินตราที่ไม่อาจนำไปอธิบายสังคมชนเผ่าได้ นักมานุษยวิทยาส่วนใหญ่จะมองกิจกรรมทางเศรษฐกิจในแบบ substantivist
นักมานุษยวิทยามาร์กซิสต์วิเคราะห์ลักษณะทางเศรษฐกิจด้วยความคิดแบบ substantivist โดยกล่าวว่ากระบวนการผลิตไม่อาจแยกจากความสัมพันธ์ทางสังคมได้ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่แนวคิดที่เชื่อลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมจะให้ความสำคัญกับการจัดสรรทรัพยากร และเชื่อว่าสถาบันทางสังคมเป็นตัวควบคุมรูปแบบทางเศรษฐกิจ แต่การศึกษามานุษยวิทยาแนวมาร์กซิสต์ กลับสนใจวิเคราะห์กระบวนการผลิต แนวคิดแบบ substantivist ไม่เชื่อว่าพฤติกรรมทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นเองตามลำพัง ส่วนแนวคิดมาร์กซิสต์ไม่เชื่อว่าการกระทำทางเศรษฐกิจจะแยกมาพิจารณาได้โดยไม่คำนึงถึงเงื่อนไขอื่น ดังนั้นจึงมีการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ในการผลิต การจัดสรรทรัพยากร และผลผลิตส่วนเกินที่พบในสังคมประเพณี โดยใช้แนวคิดเรื่อง “วิถีการผลิต” มาอธิบาย โดยเชื่อว่ากระบวนการผลิตประกอบด้วยการใช้เทคโนโลยีและความสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของการศึกษาแบบมานุษยวิทยามาร์กซิสต์
แหล่งข้อมูล: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)